ในการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของวงการโทรคมนาคมสหรัฐฯ Boost Mobile ได้พัฒนาจากผู้ให้บริการเครือข่ายเสมือน (MVNO) สู่การเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่อันดับ 4 ของประเทศ ซึ่งถือเป็นยุคใหม่ของการแข่งขันในตลาดโทรศัพท์มือถือ
ความครอบคลุมและโครงสร้างพื้นฐานเครือข่าย
Boost Mobile ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในการสร้างเครือข่าย 5G ที่ครอบคลุมประชากรสหรัฐฯ ถึง 70% โดยได้ติดตั้งสถานีฐานแล้วกว่า 20,000 แห่ง จากเป้าหมาย 24,000 แห่งที่จะแล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2025 การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานครั้งนี้ใช้เงินลงทุนมากกว่า 10 พันล้านดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นอย่างจริงจังในการก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นรายสำคัญในอุตสาหกรรมโทรคมนาคม
ขีดความสามารถทางเทคนิคและประสิทธิภาพ
โครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายของผู้ให้บริการรายนี้แสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถที่น่าประทับใจ โดยมีความเร็วในการดาวน์โหลดสูงสุดถึง 1Gbps สำหรับอุปกรณ์ที่รองรับ เช่น iPhone 16 และ Samsung Galaxy S24 ประสิทธิภาพนี้เกิดจากเทคโนโลยีการรวมคลื่นความถี่แบบ 4 ย่านความถี่ และการใช้แบนด์วิดท์สเปกตรัม 100MHz จากการศึกษาของ Ookla พบว่าเครือข่ายของ Boost มีประสิทธิภาพดีกว่าผู้ให้บริการรายใหญ่อย่าง AT&T และ Verizon ในบางด้าน
ประโยชน์ต่อผู้บริโภคและความได้เปรียบในการแข่งขัน
แนวทางของ Boost Mobile ในการสร้างเครือข่าย 5G บนระบบคลาวด์โดยใช้เทคโนโลยี Open Radio Access Network (RAN) ส่งผลให้มีความได้เปรียบด้านต้นทุน ประสิทธิภาพนี้ทำให้บริษัทสามารถเสนอแพ็กเกจที่มีราคาถูกกว่าผู้ให้บริการแบบดั้งเดิมถึง 40% นอกจากนี้ Boost ยังทำให้เทคโนโลยี 5G เข้าถึงได้ง่ายขึ้นผ่านสมาร์ทโฟนราคาประหยัดอย่าง Summit 5G ที่มีราคาต่ำกว่า 100 ดอลลาร์
โปรโมชั่นปัจจุบันและสิ่งจูงใจสำหรับลูกค้า
เพื่อดึงดูดลูกค้าใหม่ Boost Mobile ได้เปิดตัวข้อเสนอที่น่าสนใจหลายรายการ ผู้สมัครใหม่ในแพ็กเกจ Infinite Access สามารถรับส่วนลดสูงสุด 1,000 ดอลลาร์สำหรับ iPhone 16 หรือ Samsung Galaxy รุ่นล่าสุด นอกจากนี้บริษัทยังมอบบริการฟรี 1 ปีสำหรับลูกค้าที่ซื้อโทรศัพท์ใหม่ราคาเกิน 299 ดอลลาร์ผ่านเว็บไซต์ โปรโมชั่นเหล่านี้ผนวกกับโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายที่แข็งแกร่ง ทำให้ Boost Mobile เป็นคู่แข่งที่น่าจับตามองสำหรับผู้ให้บริการรายใหญ่ทั้งสามราย